avatar

มินตรา

อัปเดต: 2025-08-01

2375 การดู, 6 min อ่าน

Generative AI และ Large Language Models (LLMs) กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากในวงการเทคโนโลยี โดยคาดว่าในปี 2025 จะมีแอปพลิเคชันประมาณ 750 ล้านแอป ที่นำ LLMs มาใช้งาน นอกจากนี้ 67% ขององค์กรต่าง ๆ ก็ใช้งานผลิตภัณฑ์ Generative AI ที่ขับเคลื่อนด้วย LLMs แล้วเช่นกัน

เมื่อการใช้งาน Generative AI และ LLMs เพิ่มสูงขึ้น ความต้องการสร้างแอป LLM ก็เติบโตตามไปด้วย นี่คือจุดที่ Dify AI เข้ามามีบทบาท ด้วยการนำเสนอแพลตฟอร์มแบบ no-code/low-code ที่ช่วยให้การพัฒนาแอป LLM เป็นเรื่องง่าย เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงศักยภาพ AI ขั้นสูงได้โดยไม่ต้องมีทีมพัฒนาใหญ่

คู่มือนี้จะรีวิว Dify AI อย่างละเอียด ทั้งฟีเจอร์ ราคา รีวิว Dify AI ทางเลือก Dify และกรณีใช้งานจริง ติดตามต่อเพื่อเรียนรู้ว่า Dify AI จะช่วยให้คุณพัฒนาแอป AI ได้อย่างไร รวมถึงแนะนำ Dify alternatives สำหรับผู้ที่มองหาทางเลือกอื่นของ Dify

รีวิว Dify AI

Dify AI คืออะไร? ภาพรวมและประโยชน์สำคัญ

Dify AI คือแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สสำหรับสร้างแอป Generative AI ที่ขับเคลื่อนด้วย Large Language Models (LLMs) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้การสร้างแอป AI ง่ายขึ้น ด้วยการรวม Retrieval-Augmented Generation (RAG), ระบบเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติ, เครื่องมือสังเกตการณ์ และการจัดการโมเดลไว้ในอินเทอร์เฟซเดียวที่ใช้งานง่าย

Dify AI

Dify รองรับ LLMs ยอดนิยมมากมาย เช่น GPT, Llama2, Qwen และโมเดลอื่น ๆ อีกหลากหลาย อินเทอร์เฟซแบบ visual ที่ใช้งานง่ายช่วยให้คุณสามารถสร้างต้นแบบและนำไปใช้งานได้อย่างรวดเร็ว เชื่อมต่อช่องว่างระหว่างงานวิจัย AI ขั้นสูงกับการใช้งานจริงในธุรกิจ

Dify AI ทำงานอย่างไร

Dify AI ทำงานบนสถาปัตยกรรมแบบโมดูลาร์ โดยมี 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่:

  • LLM Orchestration: เชื่อมต่อและสลับใช้งาน Large Language Models ชั้นนำได้อย่างไร้รอยต่อ
  • Visual Studio: อินเทอร์เฟซ drag-and-drop สำหรับออกแบบเวิร์กโฟลว์ AI, เทรน AI Agent และตั้งค่าระบบ RAG
  • Deployment Hub: ดีพลอยแอป AI เป็น API, chatbot หรือเครื่องมือธุรกิจภายในได้ในคลิกเดียว
หลักการทำงานของ Dify

ด้วยการผสาน Backend-as-a-Service และ LLMOps Dify จึงมีเครื่องมือสร้างเวิร์กโฟลว์แบบ visual, prompt IDE และ RAG pipeline ช่วยให้คุณสร้างแอป Generative AI ระดับ production ได้อย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น ทีมการตลาดสามารถสร้างเวิร์กโฟลว์สำหรับวิเคราะห์ความรู้สึกของลูกค้า สร้างร่างตอบกลับ และส่งต่อกรณีซับซ้อนให้เจ้าหน้าที่ได้ภายในไม่กี่นาที

Dify AI มาพร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยให้การพัฒนาแอป AI เป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพ เช่น

1. Dify Workflow: เครื่องมือสร้างเวิร์กโฟลว์ AI แบบ Visual

Dify Workflow คือเครื่องมือสร้าง pipeline แบบ visual สำหรับออกแบบและทดสอบเวิร์กโฟลว์ AI โดยไม่ต้องเขียนโค้ดมาก คุณสามารถอัตโนมัติกระบวนการที่ซับซ้อน เช่น การจัดการซัพพอร์ตลูกค้า การดึงข้อมูล และการทำงานซ้ำ ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านอินเทอร์เฟซ drag-and-drop

dify workflow

2. Dify RAG: Retrieval-Augmented Generation Engine

RAG engine ของ Dify ช่วยยกระดับผลลัพธ์จาก LLM ด้วยการดึงข้อมูลแบบ real-time จากแหล่งภายนอก แตกต่างจาก LLM แบบดั้งเดิม (เช่น ChatGPT) Dify RAG สามารถเข้าถึงข้อมูลเฉพาะจากเอกสาร ฐานข้อมูล หรือเว็บ เพื่อให้ได้คำตอบที่แม่นยำและตรงบริบท

dify rag

ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการด้านสุขภาพสามารถใช้ Dify RAG เพื่อเข้าถึงงานวิจัยทางคลินิก ข้อมูลผู้ป่วย และแนวทางการรักษาแบบ real-time เพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ป่วย

3. Dify Agent: ผู้ช่วยเสมือนจริงที่ขับเคลื่อนด้วย AI

Dify Agents ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างและใช้งานแชทบอท AI และ virtual assistant ที่มีความรู้เฉพาะด้านในแต่ละสาขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย AI Agents เหล่านี้สามารถจัดการงานต่าง ๆ ได้แบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น CRM, การบริการลูกค้า, งานวิจัย และอื่น ๆ

dify agent

ตัวอย่างการใช้งานยอดนิยม เช่น:

  • ตอบคำถามที่พบบ่อยแบบอัตโนมัติและส่งต่อคำถามซับซ้อนให้เจ้าหน้าที่
  • สรุปราคาและข้อมูลคู่แข่ง รวมถึงการวิจัยตลาด
  • ทำงานประจำแบบอัตโนมัติ เช่น การนัดหมาย ร่างอีเมล และกรอกข้อมูล
  • สร้างรายงานธุรกิจแบบครบถ้วนจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย

Dify AI เทียบกับคู่แข่ง (เปรียบเทียบปี 2025)

Dify AI เป็นแพลตฟอร์มพัฒนาแอป LLM ที่มีความสามารถสูง แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวเลือกเดียวในตลาดนี้ มาดูกันว่า Dify AI แตกต่างจากแพลตฟอร์มชั้นนำอื่น ๆ อย่างไร พร้อมจุดเด่นและกรณีใช้งานที่เหมาะสม

Dify vs GPTBots - แพลตฟอร์ม AI Agent สำหรับองค์กรที่ปรับแต่งได้สูง

GPTBots คือแพลตฟอร์ม AI Agent สำหรับองค์กรชั้นนำของอุตสาหกรรม มีจุดเด่นในการสร้าง AI Agent แบบ no-code ที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ เหมาะสำหรับงานอัตโนมัติด้านบริการลูกค้า การค้นหาข้อมูลองค์กร การวิเคราะห์ข้อมูล การตลาด และอื่น ๆ

เอเจนต์ AI สำหรับองค์กรจาก GPTBots

GPTBots เป็นแพลตฟอร์มสร้าง AI Agent แบบ no-code ที่เชื่อมต่อกับ LLM ระดับโลกหลายแห่ง รวมถึง Deepseek พร้อมโมดูลสำหรับจัดเก็บและค้นหาความรู้ด้วย RAG การปรับแต่งเครื่องมือและเวิร์กโฟลว์ และยังสามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มสื่อสารยอดนิยมอย่าง WhatsApp และ Telegram ได้อย่างไร้รอยต่อ มอบโซลูชัน AI ครบวงจรที่ช่วยให้ธุรกิจโดดเด่นในยุค AI

นอกจากนี้ GPTBots ยังมีทีมผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษา เพื่อให้ AI Agent ของแต่ละองค์กรสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจสูงสุดและสร้าง ROI ได้อย่างเต็มที่

เมื่อเปรียบเทียบกัน Dify AI มีความสามารถที่หลากหลายกว่า เช่น การจัดการเวิร์กโฟลว์และ Retrieval-Augmented Generation (RAG) เหมาะกับแอปพลิเคชัน AI ที่ซับซ้อนมากกว่าแค่แชทบอท ในขณะที่ GPTBots เหมาะกับองค์กรที่ต้องการ AI Agent แบบ no-code ที่ปรับแต่งได้สูง มีผู้เชี่ยวชาญดูแล และเชื่อมต่อหลายแพลตฟอร์มได้อย่างไร้รอยต่อ

ตารางเปรียบเทียบ GPTBots และ Dify

หมวดหมู่หลัก ฟีเจอร์ย่อย GPTBots Dify
LLM (Large Language Model) รองรับการติดตั้งใช้งานแบบ on-premise ใช่ ใช่
ให้บริการปรับแต่งโมเดล (fine-tuning/การปรับแต่งเฉพาะ) ใช่ ไม่ใช่
Data และฐานความรู้ สามารถสร้างฐานความรู้ภายใน (local knowledge base) ได้ไม่จำกัด ใช่ ไม่ใช่
รองรับการสืบค้นข้อมูลแบบหลายตารางในฐานความรู้ (multi-table query) ใช่ ไม่ใช่
รองรับการใช้ภาษาธรรมชาติกับ SQL ใช่ ไม่ใช่
รองรับการสร้างกราฟ/ชาร์ตแบบโต้ตอบ (interactive) ใช่ ไม่ใช่
มีความสามารถในการโอนงานต่อให้เจ้าหน้าที่ (human handover) ใช่ ไม่ใช่
เวกเตอร์ความรู้ (Knowledge Vector) รองรับการอัปเดตข้อมูลตามเวลาที่กำหนด (scheduled updates) ใช่ ไม่ใช่
รองรับ markdown smart chunking ใช่ ไม่ใช่
รองรับการโอนย้ายรูปภาพความรู้โดยอัตโนมัติ ใช่ ไม่ใช่
การควบคุมสิทธิ์ (Permission Control) รองรับการควบคุมสิทธิ์การใช้งานฟังก์ชัน ใช่ ไม่ใช่
รองรับการควบคุมสิทธิ์ข้อมูลในฐานความรู้ ใช่ ไม่ใช่
รองรับการควบคุมสิทธิ์ฐานความรู้ ใช่ ไม่ใช่
AI Applications รองรับการจัดการและควบคุมสิทธิ์แอป AI แบบศูนย์กลาง ใช่ ไม่ใช่
รองรับให้พนักงาน HKMA ใช้งานแอป AI หลังล็อกอิน (สำหรับองค์กรที่เกี่ยวข้อง) ใช่ ไม่ใช่
รองรับ workflow และวิธีสร้างแอป AI แบบง่าย ใช่ ไม่ใช่
รองรับการเชื่อมต่อกับโมเดล open source, commercial และ fine-tuning หลากหลาย ใช่ ไม่ใช่
ปลั๊กอินและการเชื่อมต่อ (Plugins & Integration) รองรับการสร้างแบบภาพ (visual creation) ใช่ ไม่ใช่
รองรับการเชื่อมต่อกับ WhatsApp, Slack, Discord, Zapier, DingTalk และ Enterprise AI Search ใช่ ไม่ใช่
Speech รองรับ custom TTS Model ใช่ ไม่ใช่
รองรับ custom ASR Model ใช่ ไม่ใช่
องค์กร (Organizations) สามารถสร้างองค์กรได้หลายองค์กร ใช่ ไม่ใช่
มีความสามารถในการจัดการข้อมูลแบบแยกแต่ละองค์กร ใช่ ไม่ใช่
Workspace รองรับ bot workspace ใช่ ไม่ใช่
รองรับ web platform ใช่ ใช่
รองรับ third-party social platform (WhatsApp, Slack ฯลฯ) ใช่ ไม่ใช่
สนับสนุนการเผยแพร่ในโหมด AI Search ใช่ ไม่

สรุปสั้น ๆ:

  • เลือก GPTBots หากคุณต้องการ AI Agent ที่ปรับแต่งได้สูง ระดับองค์กร พร้อมเครื่องมือ no-code ขั้นสูงที่มีฐานความรู้ไม่จำกัด การเชื่อมต่อหลายแพลตฟอร์ม (WhatsApp, Slack, Telegram ฯลฯ) การสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ และระบบความปลอดภัยสำหรับองค์กร
  • เลือก Dify AI หากความต้องการของคุณจำกัดอยู่ที่การพัฒนาแอป AI ทั่วไป โดยไม่ต้องการการปรับแต่งหรือการเชื่อมต่อขั้นสูง รวมถึงไม่เน้นการขยายระดับองค์กร
ทดลองฟรี

🚀 ชมตัวอย่างการสร้างทีม AI Agent สำหรับองค์กรในไม่กี่นาที

ค้นพบวิธีที่ GPTBots เปลี่ยนเวิร์กโฟลว์ซับซ้อนให้กลายเป็นระบบ AI ที่ทำงานร่วมกันได้—โดยไม่ต้องเขียนโค้ด:

↑ ตัวอย่างการปรับใช้ Agent, Flow-Agent & Multi-Agent สำหรับระบบอัตโนมัติธุรกิจจริง (3:22 นาที)

Dify vs LangChain

LangChain เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มสำหรับสร้าง ดำเนินการ และจัดการแอป LLM แต่จะเน้นสำหรับนักพัฒนาที่ต้องมีทักษะการเขียนโค้ดเพื่อสร้างแอป LLM

langchain

LangChain เป็นไลบรารีภาษา Python ที่ต้องใช้เวลาและความพยายามในการเรียนรู้แนวคิดต่าง ๆ เทมเพลต และคู่มือ จากนั้นจึงเขียนโค้ดและดีบักแอป ในขณะที่ Dify AI มีอินเทอร์เฟซแบบลากวางและ low-code ที่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ใช่สายเทคนิคก็สามารถพัฒนาแอปได้อย่างรวดเร็ว

หากเปรียบเทียบกรณีใช้งาน Dify vs LangChain จุดเด่นของ Dify AI คือ visual orchestration studio ที่เข้าใจง่าย เหมาะกับสตาร์ทอัพและองค์กรที่ต้องการแอป AI พร้อมใช้งานอย่างรวดเร็ว ส่วน LangChain เหมาะกับทีมพัฒนาที่ต้องการสร้างแอประดับองค์กรที่ซับซ้อน ต้องการการเชื่อมต่อแบบ custom และต้องอาศัยนักพัฒนาโดยตรง หากคุณกำลังมองหารีวิว Dify AI หรือทางเลือก Dify ที่เหมาะกับสายไม่ต้องเขียนโค้ด Dify คือหนึ่งใน Dify alternatives ที่ตอบโจทย์

Dify vs Flowise

Flowise เป็นเครื่องมือสร้างแอป LLM แบบ low-code อีกตัวหนึ่ง เช่นเดียวกับ Dify ที่ให้แพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สสำหรับสร้าง flow orchestration และ AI Agent ในแบบที่ปรับแต่งได้ คุณสามารถเชื่อมต่อ LLM กับ memory สร้างตัวแทนอัตโนมัติ ใช้ API เพื่อเชื่อมต่อ และอื่น ๆ

flowise

เมื่อเปรียบเทียบ Dify vs Flowise ทั้งสองมีอินเทอร์เฟซแบบลากวาง (drag-and-drop) ที่ใช้งานง่าย แต่แตกต่างกันที่ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)

Dify ให้ประสบการณ์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ทันสมัย ใช้งานง่ายแม้สำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักพัฒนา ขณะที่ Flowise ให้ความรู้สึกเหมือนพื้นที่ทดลองสำหรับนักพัฒนา ให้คุณควบคุมเวิร์กโฟลว์ได้อย่างเต็มที่ มีฟีเจอร์มากมายสำหรับสร้างเวิร์กโฟลว์แบบแยกส่วน เช่น การเชื่อมโยงสคริปต์ custom, pre-trained model, API ฯลฯ

อีกจุดที่เปรียบเทียบกันระหว่าง Dify กับ Flowise คือเรื่อง scalability โดย Dify AI เหมาะกับงานขนาดเล็กถึงกลาง อาจเกิด bottleneck ได้ในแคมเปญที่มีทราฟฟิกสูง ในขณะที่ Flowise มีประสิทธิภาพและขยายระบบได้ดีเยี่ยมในระดับองค์กร หากคุณกำลังค้นหาทางเลือก Dify หรือ Dify alternatives ที่เหมาะกับงานขนาดใหญ่ Flowise คืออีกหนึ่งตัวเลือกที่ควรพิจารณา

Dify vs CrewAI

CrewAI เป็นเครื่องมือ automation แบบ multi-agent สำหรับสร้างเวิร์กโฟลว์ AI Agentic ช่วยให้นักพัฒนาสร้าง AI Agent ตามบทบาทต่าง ๆ สำหรับเวิร์กโฟลว์ เช่น งานซัพพอร์ตลูกค้า การวางแผนโปรเจกต์ การ enrich ข้อมูล lead ฯลฯ

crewai

CrewAI มีทั้งเครื่องมือสร้างแบบเขียนโค้ดและ no-code/แม่แบบ สำหรับสร้างระบบ automation แบบ multi-agent แต่ UI จะเหมาะกับนักพัฒนามากกว่า ในขณะที่ Dify มี no-code studio ที่ใช้งานง่ายกว่า ช่วยให้สร้างเวิร์กโฟลว์ AI ได้รวดเร็ว

CrewAI มาพร้อมระบบ multi-agent automation และการจัดการข้อผิดพลาด (error handling) ที่แข็งแกร่งในตัว ช่วยให้นักพัฒนาสามารถจัดการ ปรับแต่ง และทดลองเวิร์กโฟลว์ AI ที่ซับซ้อนได้อย่างมั่นใจและรวดเร็ว ในขณะที่ Dify AI ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอป AI สำหรับงาน NLP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น chatbot อัจฉริยะ การสรุปเนื้อหาเอกสารแบบพลวัต และการสร้างคอนเทนต์อัตโนมัติ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Dify AI

ใครควรใช้ Dify AI?

Dify AI เหมาะสำหรับผู้จัดการผลิตภัณฑ์ นักการตลาด นักวิเคราะห์ธุรกิจ และทีมงานที่ต้องการสร้างและนำแอปพลิเคชัน generative AI ไปใช้งานอย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ด้านโค้ดมาก อินเทอร์เฟซแบบ visual และ no-code ของ Dify AI ทำให้ผู้ใช้ที่ไม่ใช่สายเทคนิคเข้าถึงได้ง่าย ขณะเดียวกันฟีเจอร์ที่ครบถ้วนก็ตอบโจทย์นักพัฒนาที่ต้องการต้นแบบและการนำไปใช้งานที่รวดเร็ว รีวิว Dify AI นี้ยังเหมาะกับผู้ที่มองหาทางเลือก Dify เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่า

การใช้ Dify AI ต้องมีความรู้ด้านโค้ดหรือทักษะเทคนิคหรือเปล่า?

แม้ว่า Dify AI จะถูกออกแบบมาให้เป็นแพลตฟอร์ม no-code/low-code ที่ไม่ต้องใช้ประสบการณ์เขียนโปรแกรมมาก แต่ผู้ใช้ควรมีทักษะเทคนิคพื้นฐานบ้าง เช่น ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับ AI การออกแบบเวิร์กโฟลว์เชิงตรรกะ การจัดการข้อมูล และการใช้เครื่องมือ visual orchestration จะช่วยให้คุณสร้าง จัดการ และนำแอป AI ขั้นสูงไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ นักพัฒนาที่มีทักษะโค้ดสามารถใช้ Dify AI เพื่อเร่งการ prototyping ปรับแต่งเวิร์กโฟลว์ที่ซับซ้อน และนำไปใช้งานโซลูชัน generative AI ได้อย่างคล่องตัว

สามารถสร้างแอปพลิเคชันประเภทใดได้บ้างด้วย Dify AI?

ด้วย Dify AI คุณสามารถสร้างแอป generative AI และ LLM ได้หลากหลายประเภท เช่น chatbot อัจฉริยะ ผู้ช่วยดูแลลูกค้า เครื่องมือสร้างคอนเทนต์ โซลูชันจัดการความรู้ แอปเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร และเวิร์กโฟลว์ธุรกิจอัตโนมัติ ฟีเจอร์ visual orchestration studio และ RAG engine ของ Dify AI ช่วยให้คุณสร้างต้นแบบ ทดสอบ และนำไปใช้งานโซลูชัน AI ที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณได้อย่างรวดเร็ว หากคุณกำลังมองหาทางเลือก Dify หรือ Dify alternatives ก็สามารถเปรียบเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้เช่นกัน

สรุป

เมื่อองค์กรต่าง ๆ เริ่มนำ LLMs และ generative AI มาใช้ในเวิร์กโฟลว์ธุรกิจ Dify AI ก็ช่วยให้การสร้างและนำไปใช้งานแอปพลิเคชัน AI เป็นเรื่องง่ายและไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดมาก ด้วย visual builder แบบ no-code ผสานกับความสามารถ RAG และ workflow automation ช่วยให้สร้างแอป LLM ที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ทางเลือก Dify เช่น GPTBots, LangChain และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ก็เหมาะกับบางกรณีใช้งานเช่นกัน ดังนั้น สาระสำคัญของคู่มือนี้คือ คุณควรนิยามความต้องการขององค์กรให้ชัดเจน แล้วเลือกแพลตฟอร์ม AI ที่เหมาะสมสำหรับการสร้างและนำไปใช้งานแอปพลิเคชัน AI ที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ

พร้อมหรือยังสำหรับ AI ที่สร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้? รับ การประเมินผลกระทบทางธุรกิจฟรี + การสาธิตที่ออกแบบเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมของคุณ

ขอเดโม